การใช้งาน Elements HTML

HTML Elements

HTML (Hypertext Markup Language) เป็นภาษาหลักที่ใช้ในการสร้างโครงสร้างของเว็บเพจ โดย HTML จะประกอบด้วย “องค์ประกอบ” หรือ “elements” ซึ่งใช้ในการจัดระเบียบและกำหนดเนื้อหาภายในเว็บเพจ องค์ประกอบเหล่านี้จะประกอบด้วย “แท็ก” ที่เริ่มและจบการทำงาน (ยกเว้นบางกรณีที่เป็น self-closing) มาดูกันว่า HTML elements ที่สำคัญและพื้นฐานมีอะไรบ้าง

<!DOCTYPE html>

  • เป็นการประกาศว่าเอกสารนี้ใช้ HTML5 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดของ HTML
  • คำสั่งนี้ไม่ได้เป็น element แต่เป็น declaration ที่บอกเบราว์เซอร์ให้แสดงผลเนื้อหาโดยใช้มาตรฐานของ HTML5

<html>

  • เป็น root element ที่ครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมดของเว็บเพจ
  • องค์ประกอบทุกอย่างในเว็บเพจต้องอยู่ภายในแท็ก <html> นี้
<html>
   <!-- Content goes here -->
</html>

<head>

  • ส่วนนี้เป็นการเก็บข้อมูล meta หรือข้อมูลเกี่ยวกับเอกสาร เช่น ชื่อลิงก์ไปยังไฟล์ CSS, ไฟล์ JavaScript, title, meta description
  • เนื้อหาภายใน <head> จะไม่แสดงผลบนหน้าเว็บ
<head>
   <meta charset="UTF-8">
   <title>Page Title</title>
   <link rel="stylesheet" href="styles.css">
</head>

<title>

  • กำหนดชื่อของหน้าเว็บเพจ ซึ่งจะแสดงบนแท็บของเบราว์เซอร์หรือในผลลัพธ์การค้นหาของเสิร์ชเอ็นจิ้น
  • ต้องอยู่ภายใน <head>
<title>My Website</title>

<body>

  • ส่วนนี้เป็นที่แสดงเนื้อหาทั้งหมดของเว็บเพจ เช่น ข้อความ รูปภาพ วิดีโอ ฟอร์ม ฯลฯ
  • ทุกสิ่งที่ผู้ใช้งานเห็นบนหน้าเว็บจะอยู่ภายใน <body>
<body>
   <h1>Welcome to My Website</h1>
   <p>This is a paragraph of text.</p>
</body>

<h1> ถึง <h6>

  • ใช้ในการกำหนดหัวเรื่อง (heading) โดย <h1> เป็นหัวข้อที่ใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุด และ <h6> เป็นหัวข้อที่เล็กที่สุด
  • ช่วยในการจัดระเบียบเนื้อหา และมีประโยชน์ในด้าน SEO
<h1>Main Heading</h1>
<h2>Subheading</h2>

<p>

  • ใช้สำหรับกำหนดย่อหน้า (paragraph) ของข้อความ
  • มักจะใช้สำหรับเขียนเนื้อหาหลักของเว็บ
<p>This is a paragraph.</p>

<a>

  • ใช้ในการสร้างลิงก์ไปยังเว็บเพจอื่นหรือไฟล์ต่าง ๆ
  • href เป็น attribute ที่บอก URL ของลิงก์
<a href="https://www.example.com">Click here to visit Example.com</a>

<img>

  • ใช้ในการแสดงภาพบนหน้าเว็บ
  • เป็น self-closing element ซึ่งไม่มีแท็กปิด และต้องมี src attribute ที่บอกตำแหน่งของไฟล์รูป
<img src="image.jpg" alt="Description of the image">

<ul> และ <ol>

  • ใช้สำหรับสร้างรายการ (list) แบบไม่เรียงลำดับ (<ul>) และเรียงลำดับ (<ol>)
  • ใช้ <li> เพื่อกำหนดรายการในแต่ละบรรทัด
<ul>
   <li>Item 1</li>
   <li>Item 2</li>
</ul>

<ol>
   <li>First item</li>
   <li>Second item</li>
</ol>

<div>

  • เป็น container แบบทั่วไปที่ใช้สำหรับจัดกลุ่มเนื้อหาหรือองค์ประกอบต่าง ๆ เพื่อความสะดวกในการจัดรูปแบบด้วย CSS
  • ไม่มีความหมายเฉพาะเจาะจง แต่มีประโยชน์ในการจัด layout
<div>
   <p>This is inside a div element.</p>
</div>

<span>

  • คล้ายกับ <div> แต่เป็น inline element ซึ่งใช้ในการจัดกลุ่มข้อความหรือเนื้อหาเล็ก ๆ ที่อยู่ในบรรทัดเดียวกัน
  • มักใช้เพื่อจัดรูปแบบเฉพาะบางส่วนของข้อความ
<p>This is <span style="color: red;">red text</span> in a paragraph.</p>

<form>

  • ใช้ในการสร้างฟอร์มเพื่อให้ผู้ใช้กรอกข้อมูล เช่น การสมัครสมาชิกหรือส่งข้อมูล
  • ประกอบด้วย <input>, <textarea>, <button>, และองค์ประกอบอื่น ๆ ที่ใช้ในการรับข้อมูล
<form action="/submit" method="post">
   <label for="name">Name:</label>
   <input type="text" id="name" name="name">
   <button type="submit">Submit</button>
</form>

<input>

  • ใช้ในการรับข้อมูลจากผู้ใช้ เช่น ข้อความ, อีเมล, รหัสผ่าน ฯลฯ
  • เป็น self-closing element และมี type attribute ที่บอกประเภทของข้อมูลที่ต้องการรับ
<input type="text" name="username" placeholder="Enter username">
<input type="password" name="password" placeholder="Enter password">

<button>

  • ใช้สร้างปุ่มที่ผู้ใช้สามารถคลิกเพื่อทำกิจกรรมบางอย่าง เช่น การส่งฟอร์ม
<button type="submit">Submit</button>

<table>

  • ใช้สำหรับการแสดงข้อมูลในรูปแบบตาราง
  • ประกอบด้วย <tr> (row), <th> (header cell), และ <td> (data cell)
<table>
   <tr>
      <th>Name</th>
      <th>Age</th>
   </tr>
   <tr>
      <td>John</td>
      <td>25</td>
   </tr>
</table>

HTML ยังมี elements อื่น ๆ อีกมากมายที่ใช้สำหรับการสร้างและจัดการโครงสร้างและเนื้อหาของเว็บ แต่ elements ที่ได้กล่าวไปนี้เป็นพื้นฐานสำคัญในการเริ่มต้นสร้างเว็บเพจ หากคุณสนใจที่จะศึกษาเพิ่มเติมหรือลองใช้งาน elements เหล่านี้ในโปรเจ็กต์จริง คุณสามารถทดสอบได้ในเครื่องมือพัฒนาเว็บอย่าง Visual Studio Code หรือ Brackets

Leave a Reply